ประวัติวันคริสต์มาส คริสต์มาส เทศกาลคริสต์มาส คริสต์มาสอีฟ
เทศกาลคริสต์มาส เป็นการฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า ” คริสต์มาส ” เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” คำว่า “Christes Maesse” พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmasในภาษาไทย ” คริสต์มาส ” ก็มีความหมาย เช่นกัน คำว่า “มาส” แปลว่า “เดือน” เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ คำว่า”มาส” คือ”ดวงจันทร์” ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X’mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า”สันติสุขและความสงบทางใจคำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคน อื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้ ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป
ทำไมต้องมีต้นคริสต์มาส?
เพื่อนๆ คงจะเห็นแล้วว่าสัญลักษณ์ประจำวันคริสต์มาสที่สำคัญก็คือต้นสนวันคริสต์มาส หรือต้นไม้ทรงสามเหลี่ยมที่จะมีตุ๊กตาและลูกแอปเปิ้ลเล็กติดอยู่ ซึ่งต้นไม้นี้เป็นสัญลักษณ์ของต้นไม้ต้องห้ามที่อยู่ในสวรรค์สมัยอาดัมกับอี ฟที่ทั้งสองคนไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า
ในราวศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์มีการแสดงละครที่แสดงถึงความหมายของต้นคริสต์มาสโดยมีต้นไม้ต้น หนึ่งวางไว้ตรงกลางฉากซึ่งหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ต้นนี้นั่นเอง ต้นไม้ที่ใช้ในการแสดงก็มักจะเป็นต้นสนเนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาได้ง่ายใน ประเทศเหล่านั้นและมีการแสดงต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนถึงประมาณศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชในหลายประเทศได้ห้ามไม่ให้มีการแสดง เนื่องจากการแสดงตอนหลังๆนั้นกลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมืองและศาสนา จากนั้นชาวบ้านก็เริ่มนำเอาต้นไม้มาประดับไว้ในบ้านในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และมีการประดับตกแต่งให้สวยงามอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
ความจริงเกี่ยวกับคริสต์มาส
ความเชื่อโดยทั่วไป: ในหลายประเทศ ถือกันว่าซานตาคลอสเป็นผู้ที่นำของขวัญมาให้เด็ก ๆ.* พวกเด็ก ๆ มักจะเขียนถึงซานตาเพื่อขอของขวัญ ซึ่งตามธรรมเนียมที่สืบต่อกันมา เทวดาตัวน้อยช่วยซานตาทำของขวัญอยู่ที่สำนักงานใหญ่ในขั้วโลกเหนือ.
ที่มาของเรื่อง: ตามทัศนะของคนทั่วไป ตำนานเรื่องซานตาคลอสมีที่มาจากเรื่องราวของนักบุญนิโคลาส อาร์ชบิชอปแห่งมิราในเอเชียไมเนอร์ ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี. สารานุกรมคริสต์มาส กล่าวว่า “เกือบทุกสิ่งที่เขียนไว้เกี่ยวกับนักบุญนิโคลาสเป็นเรื่องราวจากตำนาน.” ชื่อ “ซานตาคลอส” อาจมาจากคำว่าซินเตอร์คลาส ซึ่งเพี้ยนมาจากคำภาษาดัตช์ที่แปลว่า “นักบุญนิโคลาส.” ทั้งแง่ประวัติศาสตร์และคัมภีร์ไบเบิล ซานตาคลอสไม่มีอะไรเหมือนกับพระเยซูคริสต์เลย.
สำหรับตำนาน ซานตาคลอส (Santa Claus) นั้น มีเรื่องเล่าว่า ซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา ที่มีชีวิตอยู่ในราวศตวรรษที่ 4 โดยชีวิตในวัยเด็กของเซนต์ นิโคลัส อาศัยอยู่ทางฝั่งทะเลตอนใต้ของตุรกี และเขาต้องอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว เนื่องจากชาวโรมัน ผู้ครอบครองดินแดนแถบนั้นกดขี่ชาวคริสเตียน ต่อมาบิดามารดาของเซนต์ นิโคลัส เสียชีวิตลงและได้ทิ้งทรัพย์สมบัติให้เขาไว้มากมายวันหนึ่ง เซนต์ นิโคลัส เกิดสงสารครอบครัวเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยากจน ด้วยความมีน้ำใจและใจบุญสุนทาน เขาจึงปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของครอบครัวยากจนนี้ แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ แต่บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ทำให้ครอบครัวแปลกใจที่ใครมาช่วยเหลือพวกเขา ก่อนจะแอบดูและทราบในที่สุดว่า ผู้ใจบุญคนดังกล่าวคือ เด็กหนุ่มนามว่า นิโคลัส นั่นเอง ต่อมา นิโคลัส ได้เข้าเป็นนักบวชคริสเตียน ก่อนจะได้ดำรงตำแหน่ง บิชอฟ แล้วย้ายไปดำรงตำแหน่งสังฆราชแห่งเมืองไมรา (Myra) ซึ่งขณะนั้น ท่านสามารถประกอบศาสนกิจได้อย่างเต็มที่แล้ว เพราะจักรพรรดิองค์ใหม่ของอาณาจักรโรมสนับสนุนศาสนาคริสต์ ท่านเซนต์ นิโคลัส จึงเผยแผ่ศาสนา และอุทิศชีวิตให้กับคริสต์ศาสนาจนมีชื่อเสียงลือเลื่องไปทั่ว ก่อนจะมรณภาพในวันที่ 6 ธันวาคม ราวปี ค.ศ. 340 คริสต์ศาสนิกชนจึงได้สร้างโบสถ์เก็บรักษาศพของท่านไว้ ณ เมืองไมรา เพื่อให้ผู้แสวงบุญเดินทางมาเคารพศพ และยังได้เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ เมื่อมีน้ำมนต์ไหลออกมาจากกระดูกของท่าน ซึ่งเรียกว่า “มานนา”
แต่ ทว่าชาวเมืองบารี เมืองเล็ก ๆ ในอิตาลี ต้องการหาสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กับเมืองของตัวเอง จึงได้ว่าจ้างนักโจรกรรม นำโดยแมทธิว เป็นหัวหน้าของกลุ่ม ไปโจรกรรมกระดูกของเซนต์ นิโคลัส ที่เมืองไมรา กลับมายังเมืองบารี เมื่อกลุ่มโจรกรรมทำงานสำเร็จ ชาวบารีก็ได้สร้างโบสถ์เพื่อบรรจุกระดูกเซนต์ นิโคลัส และยังพบความมหัศจรรย์ เมื่อมีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ไหลซึมออกมาจากกระดูกของท่านเช่นเดียวกัน ซึ่งนักแสวงบุญได้นำน้ำมนต์นี้ไปรักษาโรค ก็รักษาได้ผลชะงัด และจากนั้นสถานที่แห่งนี้ ก็กลายเป็นสิ่งดึงดูดที่ทำให้คริสต์ศาสนิกชนแห่แหนมาคารวะกระดูกท่านเซนต์ นิโคลัส ที่เมืองบารีอย่างล้นหลาม กระทั่งในคริสต์ศตวรรษ ที่ 12 ชาวเมืองฝรั่งเศสได้กำหนดให้วันที่ 6 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันมรณภาพของเซนต์ นิโคลัส เป็นวันเซนต์ นิโคลัส และได้นำถุงเท้าที่ใส่อาหาร ขนมไปแขวนไว้หน้าบ้านของคนยากไร้ตามแบบอย่างท่าน ก่อนที่ประเพณีนี้จะแพร่อย่างรวดเร็วไปทั่วยุโรป และแพร่หลายไปในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะได้มีการผนวกวันเฉลิมฉลองเซนต์ นิโคลัส เข้ากับวันคริสต์มาส ต่อมาจิตรกรนาม “โธมัส นาสต์” (Thomas Nast) ได้เขียนภาพซานตาคลอสขึ้นมาเป็นชายแก่ร่างอ้วนใส่เสื้อผ้า และหมวกสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก โดยจะปรากฏตัวในวันคริสต์มาส ลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็ก ๆ ที่แขวนถุงเท้าไว้นั่นเอง
สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย
สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาคลอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี
สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง
สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฏบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาคลอส
สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว
สิ่งของประดับตกแต่งเนื้องในวัน Merry Christmas
1 . ต้นคริสต์มาส
นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิลและขนมปังเพื่อ ระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลาก สีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
2. ดาว
ดาว ในความหมายของชาวคริสเตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “The bright and morning star” มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม
ต้นฮอลลี่
ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฎหนามที่พวกชาว ทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์
ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia